สิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้จากการเรียน เมื่อวันที่ 23/01/2555 คือ
ลักษณะที่สำคัญของ strategy ได้แก่
1. Response คือ กลยุทธ์ที่ดีต้องสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก(Driver)ได้ ซึ่งความสามารถนี้เรียกว่า Core competencies หรือ Organization capacity ซึ่งถือเป็น Key access factor โดยสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลง(Driver)นี้ ประกอบด้วย Political, Economic, Social, Technology, และ Environment หรือเรียกรวมกันว่า “PESTE”
2. Fitness คือ การหาจุดที่เหมาะสมระหว่างผลิตภัณฑ์ที่เราเป็นผู้ผลิต กับตลาดซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าของเรา โดยกลยุทธ์ที่ดีจะต้องทำให้ Product(organization) = Market (environment) ซึ่งองค์กรอาจนำเทคนิค SWOT เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์เพื่อหาจุดที่เหมาะสมดังกล่าวได้
สภาพแวดล้อมในแต่ละระดับย่อมมีความแตกต่างกันไป ดังนั้นองค์กรจึงควรเลือกใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในแต่ละระดับ ดังนี้
ระดับ Macro เนื่องมีขอบเขตที่กว้างมาก ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับระดับนี้จึงเป็นCorporate Strategy
ระดับ Industry กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับระดับนี้ คือ Competitive Strategy หรือ Business Strategy
ระดับ Functional กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับระดับนี้ คือ Functional Strategy ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับ Business Strategy
3. Alignment คือ กลยุทธ์ที่ดีต้องทำให้การดำเนินงานขององค์กรในทุกระดับมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยองค์กรอาจนำเครื่องมือ Balance score card เข้ามาช่วยเพื่อให้องค์กรมีการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน
4. Symmetry คือ การมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Harmonize หรือ Symbiosis) โดยส่วนใหญ่แล้วหลักของ Symmetry นี้ เราจะใช้นำไปในเรื่องของ พันธมิตรทางธุรกิจ
“พันธมิตรทางธุรกิจ (Alliance) คือการตกลงใหความรวมมือกันในการทําธุรกิจระหวางบริษัท ตั้งแต 2 บริษัทขึ้นไป โดยอาจจะเปนการใหความรวมมือกันในดานการขายสินคาการซื้อวัตถุดิบ การสงเสริมการขาย หรือในเรื่องอื่นๆก็ไดทั้งนี้เพื่อเปนการเสริมความแข็งแกรงแกบริษัทให้สามารถอยู่รอดได้ภายใต้ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงอยางเชนทุกวันนี้”
“พันธมิตรทางธุรกิจ (Alliance) คือการตกลงใหความรวมมือกันในการทําธุรกิจระหวางบริษัท ตั้งแต 2 บริษัทขึ้นไป โดยอาจจะเปนการใหความรวมมือกันในดานการขายสินคาการซื้อวัตถุดิบ การสงเสริมการขาย หรือในเรื่องอื่นๆก็ไดทั้งนี้เพื่อเปนการเสริมความแข็งแกรงแกบริษัทให้สามารถอยู่รอดได้ภายใต้ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงอยางเชนทุกวันนี้”
Strategic Thinking จากการที่ดิฉันได้เรียนรู้จากในห้องเรียนนั้น ประกอบด้วย
1. Scope คือ ขอบเขตที่กำหนดว่าองค์กรเป็นใครในอุตสาหกรรมนั้นๆ และอะไรคือสิ่งที่องค์กรควรทำหรือไม่ควรทำ (Do, Don’t) Scope เรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า Corporate Strategy ซึ่งจะถูกกำหนดโดย Mission ขององค์กรนั้นๆ
“ พันธกิจ (Mission) คือ ความประสงค์หรือความมุงหมายพื้นฐานขององคกรที่จะดําเนินการในระยะยาวอาจจะกล่าวได้ว่าเปนขอบเขตในการดําเนินงานขององคกรหรือบริษัทก็ได้ พันธกิจที่ดีจะสามารถแยกความแตกตางและคุณคาขององคกรแตละแหงไดอยางชัดเจน ดังนั้นพันธกิจจะบงบอกวาธุรกิจขององคกรคืออะไร อะไรคือสิ่งที่องคกรตองการจะเปน และบางครั้งอาจจะแสดงสิ่งที่องค์กรกำลังให้บริการแก่ลูกค้าอยู่ทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ”
Scope ประกอบด้วย Market (เช่น Global หรือ Domestic ), Process ( เช่น ครบวงจร หรือ บางส่วน ) และ Product ( เช่น เบา, หนัก, หรือ ไฮเทค )
2. Long Term คือ การวิเคราะห์อดีต และจำลองเหตุการณ์ในอนาคตเพื่อให้เห็นอนาคตที่ชัดเจน แล้วจึงวางแผนในปัจจุบัน ซึ่งการวิเคราะห์นี้จะใช้แนวคิด แบบ Logic Thinking (หลักของเหตุผล การกระทำในปัจจุบันจะก่อให้เกิด เหตุการณ์ในอนาคต) และในการจำลองเหตุการณ์ในอนาคตนี้ต้องใช้ข้อมูลที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจควบคู่กับการใช้สัญชาตญาณของตนเองเสมอ
การทำนายอนาคตนั้นมี 3 แบบ คือ
1) Forecasting (การทำนาย) คือ การประเมินว่าจะเกิดอะไรในอนาคต โดยมากจะทำโดยการนำข้อมูลจากอดีตมาผสมผสานกันอย่างเป็นระบบ แล้วทำการคาดหมายว่าจะเกิดอะไรในอนาคต
2) Scenario Analysis (การวิเคราะห์สถานการณ์) คือ กระบวนการสำหรับวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคตที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณาจากสถานการณ์ในทางเลือกที่เป็นไปได้ โดยสถานการณ์นั้นสร้างขึ้นมาโดยอาศัยโครงเรื่อง (plot) ที่มาจากแนวโน้ม (trends) ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันและความไม่แน่นอน (uncertainties) ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต สถานการณ์จึงมีได้หลายสถานการณ์ขึ้นอยู่กับชุดแนวโน้มและความไม่แน่นอนที่เลือกมาประกอบกันเป็นโครงเรื่อง
3) Foresight (การมองอนาคต) เป็นกระบวนการที่ดำเนินอย่างเป็นระบบ ในการมองไปในอนาคตของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม เพื่อการส่งเสริมให้เอื้อประโยชน์สูงสุดแก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การมองอนาคตไม่ใช่การทำนาย (forescast) ที่สันนิษฐานอนาคตเพียงรูปแบบเดียว หลักสำคัญของการมองอนาคตคือ การดำเนินการที่เป็นระบบ มีขั้นตอนชัดเจน และมีส่วนร่วมจากผู้ที่มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ (stakeholders) เพื่อให้เข้าใจถึงแรงผลักดันต่างๆ ทั้งที่เห็นชัดและที่ยังไม่เห็นชัด ซึ่งจะกำหนดรูปแบบของอนาคต และทำให้เห็นลู่ทางที่จะต้องกระทำในวันนี้เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น
3. Advantage คือ ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Comp etitive advantage) ซึ่งมี 3 แบบ ได้แก่
1) Monopoly Rent (การผูกขาด) คือ การที่ผู้ผลิตรวมตัวกันได้ หรือมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะกำหนด
ราคาสินค้าได้ โดยผู้ผลิคที่มีอำนาจผูกขาดมักจะตั้งราคาที่สูงกว่าราคาที่กำหนดโดยตลาดเสรี
ราคาสินค้าได้ โดยผู้ผลิคที่มีอำนาจผูกขาดมักจะตั้งราคาที่สูงกว่าราคาที่กำหนดโดยตลาดเสรี
2) Richardian Rent คือ การที่องค์กรมีความเหนือกว่าคนอื่น เช่น การมีทรัพยากรที่หายาก (Scared Resources) เป็นต้น ทำให้ องค์กรมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
3) Entreprenuerial Rent หรือ Schumpeterian Rent คือ การที่องค์กรมีกำไรที่เหนือกว่ากำไรปกติหรือเหนือกว่าคู่แข่ง โดยสามารถเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้ประกอบการมีทักษะหรือเงินลงทุนในการบริหารจัดการ บริษัทอาจลงทุนในการโฆษณา การฝึกอบรมของพนักงาน และอื่น ๆ เงินลงทุนเหล่านี้จะส่งผลในราคาที่สูงขึ้น (แบรนด์) หรือต้นทุนที่ลดลง (เทคโนโลยีที่ดีกว่า) ทำให้ได้กำไรมากกว่าคู่แข่ง
4 4. Environment มักจะมีการเปลี่ยนอยู่เสมอ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราควรใช้ Stakeholder Analysis เราต้องวิเคราะห์ที่ผู้กระทำ ไม่ใช่ภาวการณ์กระทำ
“Stakeholder Analysis (การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) เป็นการวิเคราะห์กรณีปัญหาหรือวิเคราะห์โครงการข้อมูลของกลุ่มเพื่อใช้ในการตัดสินใจของผู้บริหารโครงการ ในการจัดทำโครงการ หรือสร้างสรรค์แนวความคิดของผู้นำ”
แต่จากการที่ดิฉันได้ศึกษาเพิ่มเติมจากทางอินเตอร์เน็ต พบว่า Strategic Thinking มีความแตกต่างจากที่อาจารย์กล่าวไปบ้าง ดังนี้
จากเว็บไซต์ได้กล่าวว่า ความคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) คือเรื่องสำคัญที่ไม่ได้ให้ความสนใจกันมากนักในการเรียนรู้ หรือการพัฒนาเชิงกลยุทธ์ขององค์กรต่างๆ เนื่องจากเป็นรูปแบบของการพัฒนาแบบต่อเนื่อง ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นกึ๋นของผู้นำที่ต้องมีติดตัว แต่ในความจริงแล้วสามารถฝึกได้ และควรให้ความสำคัญมากในขั้นตอนการบริหารเชิงกลยุทธ์
Strategic Thinking เป็นกระบวนการคิดที่ผู้บริหารองค์กรจำเป็นต้องฝึกตลอดเวลา (On going process) ให้เกิดเป็นทักษะ ความคิดเชิงกลยุทธ์เกิดขึ้นได้ทั้งในงาน และในการมองเห็นทั่วๆไป ผู้ที่ฝึกคิดเชิงกลยุทธ์มักจะมี ‘คำถาม’ (Why) อยู่เสมอ เมื่อได้พบเห็นสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้ต้องค้นหาคำตอบ เกิดการวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจในสิ่งต่างๆ อย่างรอบด้าน ดังนั้น การคิดเชิงกลยุทธ์ ผู้นำควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. การคิดบวก
2. มองภาพรวม
3. หาข้อมูลรอบด้าน
4. คิดหลากหลาย
5. มี FOCUS
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://victor2514.wordpress.com/tag/strategic-thinking/
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่า Strategic Thinking จะควรคำนึงถึงสิ่งใด แต่สุดท้ายก็ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จตามที่องค์กรได้คาดหวังไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น